พระโพธิสัตว์เวยพระชาติ เป็น พระเจ้าสีพี
ในรัชกาลพระเจ้าสิวิมหาราชครองอริฏฐปุรนคร แคว้นสีพี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชโอรส นามว่า “สิวิราชกุมาร” ได้รับบรมราชาภิเษกครองราชย์สมบัติโดยทศพิธราชธรรม ทรงสร้างโรงทานไว้ ๖ แห่ง คือ ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง ที่ประตูพระราชวัง ๑ แห่ง ทรงบริจาคมหาทานวันละ ๖ แสนกษาปณ์ ทรงสมาทานอุโบสถในวันพระ ๘-๑๔-๑๕ ค่ำ เสร็จออกไปโรงทานเป็นประจำ
อยู่มาวันหนึ่ง เป็นวันเพ็ญ เวลาเช้า พระเจ้าสิวิราชทรงเห็นว่า สิ่งของภายนอกที่ยังมิได้พระราชทานนั้นเป็นอันไม่มี ประสงค์จะบริจาคอัชฌตติกทาน จึงเสร็จไปยังโรงทาน อธิษฐานว่า “ขอให้ยาจกจงขอทานภายในของเรา ถ้าใครจะออกปากขอหัวใจ-ขอเนื้อ-ขอเลือดเรา เราก็จะให้ทันที ใครจะขอให้เรารับทำงานในตำแหน่งทาสกรรมกร เราก็จะเสียสละ ราชสมบัติเวนคืนตำแหน่งกษัตริย์ รับทำให้ได้ หรือถ้าใครออกปากขอลูกตา เราก็จะควักส่งให้ทันที”
ฝ่ายท้าวสักกเทวราช ทรงทราบพระราชอัธยาศัยเป็นอย่างดี ประสงค์จะทดลองดูให้ประจักษ์ จึงแปลง เป็นพราหมณ์แก่ตาบอด ชูมือขึ้นถวายชัยมงคลพระเจ้าสีวิราช ตรัสถามว่า “ ท่านพูดอะไร” อินทพราหมณ์กราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ชาวโลกกล่าวสรรเสริญเยินยอไปทั่วทิศว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงมีพระกมลอัธยาศัยน้อมไปในทางทาน ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนแก่เฒ่าชราตาก็บอดทั้งสองข้าง ได้บากหน้ามาเพื่อจะขอพระราชทานดวงพระเนตร ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานดวงพระเนตรแก่ข้าพระพุทธเจ้าสักข้างหนึ่งเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
พระบรมโพธิสัตว์ทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า เป็นลาภแท้มโนรถของเราถึงที่สุดแล้วในวันนี้ เราจะบริจาคทานที่เรายังไม่เคยให้ทรงพระโสมนัสตรัสตอบพราหมณ์ว่า “ท่านขอข้างเดียว เราจะให้ทั้งสองข้าง ท่านจงรับดวงตาของเราไปแทนดวงตาของท่านเถิด ท่านยังปรารถนาสิ่งใดจากเราอีก ความปรารถนานั้นก็จะสำเร็จแก่ท่านอีก” ได้เชิญพราหมณ์ไปในพระราชวัง โปรดให้นายแพทย์ชีวกมาเฝ้า ให้หมอจัดการชำระพระเนตรให้สะอาด ควักออกใส่ให้แก่พราหมณ์นั้น ใคร ๆ จะคัดค้านทัดทานอย่างไร พระองค์ก็ไม่ฟัง ตรัสเรียกพราหมณ์ว่า “พราหมณ์เอ๋ย มาเถิดพราหมณ์ พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น ที่เรารักยิ่งกว่าดวงตาของเรานี้ ตั้งร้อยเท่าพันทวี ตั้งหมื่นเท่า ตั้งแสนเท่า ขอผลแห่งการบริจาคดวงตานี้ จงเป็นปัจจัยแก่พระสัพพัญญุตญาณเถิด” แล้วพระราชทานดวงเนตรให้แก่พราหมณ์ พราหมณ์ได้รับพระราชทานเดวงพระเนตรเอาไปใส่เข้าตา พระเจ้าสีวิราชทอดพระเนตรเห็นตาพราหมณ์เป็นปรกติดังเดิม ก็ทรงพระปีติโสมนัส ทรงพระดำริว่า จักษุทานเราให้ดีแล้วหนอ ทรงเสวยพระปีติซาบซ่านในพระราชหฤทัย แล้วได้พระราชทานพระเนตรเบื้องซ้ายที่ยังเหลืออยู่อีก อินทพราหมณ์ได้รับพระราชทานดวงพระเนตรแล้ว ก็เสด็จกลับเทวโลกในทันใดนั้น
ต่อมาเวนคืนราชสมบัติออกบวช ไปอยู่ในสวนบำเพ็ญสมณธรรม ทรงรำพึงถึงทานที่ได้บริจาคแล้ว ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จมาเฝ้า พระราชพรแก่พระโพธิสัตว์ พระองค์ทูลท้าวสักกเทวราชว่า “ขอได้โปรดพระราชทานความตายแก่หม่อมฉันเถิด” ท้าวสักกะตรัสว่า “ข้าแต่พระเจ้าสีวิราช ธรรมดาทานนั้นจะให้ผลในสัมปรายภพเท่านั้นก็หามิได้ ย่อมให้ผลแม้ในปัจจุบันนี้ด้วย ขอใต้ฝ่าพระบาทได้ทรงทำสัจจกิริยาเถิด” พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า “วณิพกทั้งหลายที่มาขอหม่อมฉันนั้น ต่างเพศ ต่างวรรณะกัน ใครขอดวงตา คนนั้นก็รักใคร่หม่อมฉัน ด้วยสัจจวาจาภาษิตนี้ ขอให้ดวงตาเกิดแก่หม่อมฉันเถิด”
ทันทีนั่นเอง พระเจ้าสีวิราชก็ทรงได้พระเนตรทั้งสอง ได้เพราะผลทาน พร้อมทั้งสัจจบารมีของพระองค์ หมู่อำมาตย์มนตรีทั้งฝ่ายหน้า ฝ่ายใน พากันทูลเชิญแห่แหนเข้าสู่พระนครให้เสด็จประทับ ณ พระที่นั่งสุวันทกปราสาท ตรัสให้ตีฆ้องร้องป่าวให้ทั่วพระนคร รับสิ่งให้ข้าราชการมาประชุมกัน ตรัสว่า “ดูรา ประชาชนชาวสีวิรัฐ ท่านทั้งหลายเห็นดวงตาดังทิพย์ของเราแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป เมื่อยังไม่ได้ให้ทานก่อนแล้ว อย่ากินเลย ใครหนอในโบกนี้ ถูกขอทรัพย์ที่รัก ที่ชอบใจแล้ว จะไม่พึงให้เล่า ของวิเศษก็ดี ของรักของตัวก็ดี เราได้ให้แล้ว เชิญพวกท่านมาประชุมกันที่นี้เถิด เชิญท่านทั้งหลายจงดูนัยน์ตาดังทิพย์ของเราเสียในวันนี้เถิด นัยน์ตาดังทิพย์ของเราคู่นี้เห็นทะลุปรุโปร่งไปหมด แลเห็นไกลได้ตั้งร้อยโยชน์ ในโลกที่เราอยู่กันเป็นสมาคมเช่นนี้ ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าการให้ทาน เราให้ทานจักษุอันเป็นมนุษย์ ดูกร ข่าวสีวิรัฐท่านทั้งหลายรู้เหตุแม้นี้แล้ว ท่านทั้งหลายจงให้ทานก่อนแล้วจึงค่อยบริโภคเถิด บุคคลผู้ให้ทานและบริโภคของตนนั้น ไม่มีใครติเตียนได้ ทั้งย่อมเข้าถึงสุคติสถาน”
เมื่อพระเจ้าสีวิราช ทรงประสาทธรรมกถาแก่มหาชนชาวแคว้นสีวิรัฐ ดังนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นมา ถึงวันอุโบสถทุกกึ่งเดือน พระองค์ก็โปรดให้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์ ทั้งเสวกามาตย์ราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า ทั้งฝ่ายใน พร้อมทั้งประชาชนนิกร ต่างก็ให้ทาน รักษาศีล โดยธรรมสุจริต ครั้นแตกกาย ทำลายขันธ์สิ้นชีวิตแล้ว ก็พากันเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ด้วยกันทุกคน
บารมีที่พระเจ้าสีวิราชได้บำเพ็ญมานี้ จัดเป็น “ทานอุปบารมี”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น