วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ศีลปรมัตถบารมี

พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น สังขปาลนาคราช

พระเจ้ามคธ เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระโอรส พระชนกทรงโปรดปรานมอบสมบัติให้ครอบครอง แล้วพระชนกก็เสด็จออกผนวชประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในสวนหลวงแห่งนครนั้น พระราชาผู้เป็นพระราชโอรส เสด็จออกไปทรงอุปฐาก วันละ ๓ เวลาทุกวัน มีประชาชนนับถือบูชาราชฤาษีนั้นมากมาย ทรงปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ จึงทรงเสด็จหนีออกจากพระนคร ทรงสร้างบรรณศาลาอยู่ที่ภูเขาวันทกะ ซึ่งตั้งอยู่ตรงน้ำอ้อมแห่งแม่น้ำกรรณเวณ แคว้นมหิสกราษฎร์ ที่ตรงนั้นเป็นปากถ้ำแห่งนาคพิภพด้วย

ฝ่ายสังขปาลนาคราช ทรงเบื่อหน่ายสมบัติในนาคพิภพได้ปลีกตนออกมาจำศีลอยู่ ณ บริเวณนั้น ได้พบเห็นพระราชฤๅษี ได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่ง นาคราชพาบริวารมาฟังธรรมของราชฤๅษีอยู่ ฝ่ายพระเจ้าทุยโยธนราช ผู้ราชบุตรได้ออกติดตามหา จนกระทั่งมาถึงบรรณศาลา ได้โอกาสจึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระราชฤๅษี ผู้พระบรมชนกนาถ เมื่อนาคราชได้เห็นพระราชาเสด็จมา จึงรีบปลีกตัวหนีไป เมื่อพระราชโอรสทูลปราศรับแล้วกราบทูลว่า ผู้ที่เสด็จหลีกไปเมื่อครู่นี้ เป็นพระราชาเมืองไหน เมื่อทรงทราบว่า เป็นนาคราช มาแต่นาคพิภพ ก็พอพระทัยในนาคสมบัติ พอเสด็จกลับถึงพระนคร โปรดให้ตั้งโรงทาน ทรงสมาทานศีล เจริญภาวนา ปรารถนานาคสมบัติ เมื่อเสด็จสรรคาลัยได้ไปอุบัติในพิภพนาคสมพระประสงค์ เป็นพญานาคนามว่า สังขปาลนาคราช

ต่อมา เกิดเบื่อหน่ายต่อความเป็นนาค ปรารถนาเป็นมนุษย์ต่อไปอีก จึงรักษาอุโบสถศีล แต่ไม่สามารถจะทำให้บริบูรณ์ในนาคพิภพนั้น จึงออกจากนาคพิภพมายังแดนมนุษย์ อธิษฐานอุโบสถศีล ตั้งใจว่า ใครต้องการหนังและเนื้อของเราก็เชิญเถิด เราสละแล้ว นอนขดอยู่บนจอมปลวกแห่งหนึ่ง ข้างทางเดิน พอวันแรมค่ำ และขึ้นค่ำก็เสด็จกลับนาคพิภพ

วันหนึ่ง สังขปาลนาคราชโพธิสัตว์มาทรงรักษาอุโบสถศีลอยู่ ที่นั้น พรานหนุ่มเมืองพาราณสี ๑๖ คน ถืออาวุธเครื่องจับสัตว์ครบมือ ได้เห็นพระโพธิสัตว์สังขปาลนาคราช มีสรีระงดงาม ทั้งใหญ่โตมาก หาทางเสี่ยงเข้าจับ เอาหลาวแทงจมูก เอาหอกแทงตามร่างกาย ทำให้อ่อนกำลัง ตัดเถาวัลย์มัดเป็นเปลาะได้ ๘ เปลาะ ช่วยกันเอาคานหามมา ๘ คานด้วยกัน

อาฬารคหบดี ชาวเมืองมิถิลา แคว้นวิเทห์ นำหมู่เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม เดินทางไปค้าขาย ขับมาถึงที่ตรงนั้น ได้เห็นพรานหนุ่มช่วยกันหามงูใหญ่มาเช่นนั้น เกิดความสงสาร ขอร้องให้ปล่อยโดยเอาวัว ๑๖ ตัว ทองทรายประมาณ ๒-๓ ฟายมือ กับฝากเครื่องนุ่งห่มไปให้ภรรยาของพรานเหล่านั้นด้วย เพื่อพญานาคหลุดพ้นจากเครื่องจองจำแล้ว จึงรีบกลับไปยังนาคพิภพ บำรุงบำเรอท่านด้วยความสุขในนาคพิภพนั้น ท่านอยู่ในนาคพิภพประมาณปีหนึ่งเกิดความเบื่อหน่าย กลับมายังหมู่มนุษย์แล้ว ออกบวชเป็นฤาษีเที่ยวจาริกไปตามบ้านเล็กเมืองน้อย แสดงธรรมเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชนต่อไป ได้มาพักอยู่ สวนหลวงกรุงพาราณสี พระเจ้าพาราณสีได้ทอดพระเนตรเห็นพระดาบส ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถ โปรดให้พักอยู่ในสวนนั้นต่อไป ได้ตรัสปราศรัยว่า ท่านผู้เจริญ ท่านมีรูปงามยิ่งนัก มีดวงตาแจ่มใส โยมเข้าใจว่า ท่านต้องบวชจากตระกูลใหญ่แน่ ท่านเป็นผู้มีปัญญา ทำไมจึงสละทรัพย์สมบัติออกบวชเสียเล่า พระดาบสถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร บพิตร พระราชสมภารเจ้าอาตมภาพไปเห็นพิภพนาค เห็นวิมานของสังขปาลนาคราชมาด้วยตนเอง เมื่อได้เห็นเช่นนั้นแล้ว ก็ออกบวชด้วยเชื่อว่า ผลของบุญมีอยู่ ตรัสว่า บรรชิตทั้งหลาย ไม่กล่าวคำเท็จ เพราะความรัก ความชัง ความหลง และความกลัว ขอได้โปรดบอกเรื่องนั้นแก่โยมด้วย ถวายพระพรว่า ดูกร มหาบพิตร อาตมาภาพเดินทางไปมาค้าขาย ได้พบพรานหนุ่ม ๑๖ คน จับงูใหญ่ เอาเถาวัลย์มัดเข้าถึง ๘ เปลาะ เอาคานสอดหามกันมาถึง ๘ คน อาตมาภาพรู้สึกขนลุพอง เขาบอกว่าจะเอาไปกิน เนื้อมันอร่อยนัก อาตมภาพจึงขอเอาโค ๑๖ ตัว ทองทรายประมาณ ๒-๓ ฟายมือ กับเครื่องนุ่มห่ม ฝากภรรยาพวกเขาทั้ง ๑๖ คน พอจัดของให้เสร็จ เขาก็ปล่อยทันที เมื่อพญานาคพ้นเครื่องจองจำแล้ว จึงรีบไปยังนาคพิภพพาบริวารมาหาอาตมภาพ ชวนให้ไปยังนาคพิภพ เพื่อจะสนองคุณอาตมภาพที่ได้ช่วยชีวิตได้ อาตมภาพก็ไปตามคำเชิญไปอยู่ประมาณปีหนึ่ง เบื่อเหลือเกิน จึงกลับมายังมนุษย์โลกละสมบัติออกบวชแล้ว จาริกมาถึงนี้ ขอถวายพระพร อาตมภาพได้ถามถึงสมบัติอันมโหฬารว่า ท่านนาคราชได้สมบัตินี้ด้วยอุบายอย่างไร ได้วิมานอันประเสริฐนี้อย่างไร ท่านได้โดยไม่มีเหตุหรือใครน้อมมาให้ท่าน โปรดบอกความนั้นแก่เราด้วย นาคราชตอบว่า ข้าพเจ้าได้เพราะบุญกรรมที่ตนได้ทำไว้ พรตของท่านเป็นอย่างไร พรหมจรรย์ของท่านเป็นอย่างไร นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไรที่ท่านประพฤติดีแล้ว พญาสังขปาลนาคราชตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นพระราชาแห่งชนชาวมคธ ชื่อว่า ทุยโยธนะ มีอานุภาพมาก รู้ชัดว่า ชีวิตเป็นของน้อย ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จึงเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสได้ให้ข้าวและน้ำอันเป็นทานอันไพบูลย์โดยเคารพ วังของข้าพเจ้าเป็นดังบ่อน้ำ สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็อิ่มหนำสำราญ ในที่นั้นข้าพเจ้าให้ของหอม เครื่องลูบไล้ ประทีป ยวดยาน ที่พัก ผ้านุ่ง ที่นอน ที่นั่งเป็นทานโดยเคารพ นั่นเป็นพรต เป็นพรหมจรรย์ของข้าพเจ้า นี้เป็นผลแห่งกรรมนั้น ที่ข้าพเจ้าได้ประพฤติดีแล้ว ข้าพเจ้าได้วิมานอันมีภัตตาหารเพียงพอ มีข้าวน้ำเพียงพอ เพราะวัตรและพรหมจรรย์นั้น ดูกรนาคราช พรานหนุ่มทั้งหลาย มีอานุภาพน้อย มีเดชน้อย ไฉนจึงมาเบียดเบียนท่านผู้มีอานุภาพมาก มีเดชมากได้ เพราะเหตุไร ท่านจึงตกอยู่เงื้อมมือของพรานหนุ่ม ความกลัวมาถึงท่าน หรือว่าพิษของท่านไม่แล่น ท่านจึงต้องถูกมัดไปเช่นนั้น นาคราชตอบว่า ความกลัวก็มิได้มีแก่ข้าพเจ้า พรานหนุ่มเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำลายเดชของข้าพเจ้าได้ แต่ว่า ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย ที่ท่านประกาศไว้ยากที่จะล่วงได้ วันนั้น ข้าพเจ้ารักษาอุโบสถศีล พรานหนุ่ม ๑๖ คน เขาเป็นพรานมาพบเข้า เขาจับเอาเชือก มัดแทงจมูก ช่วยกันหามข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าต้องอดทนต่อความทุกข์เช่นนั้น เพราะกลัวศีลจะขาด กลัวอุโบสถกรรมกำเริบได้ ข้าพเจ้าบำเพ็ญตบะมิใช่ เพราะเหตุบุตร มิใช่เพราะเหตุแห่งทรัพย์ มิใช่เพราะเหตุแห่งอายุ แต่เพราะข้าพเจ้าปรารถนาจะเกิดกำเนิดในมนุษย์ จึงอุตส่าห์บากบั่นบำเพ็ญตบะถึงเพียงนี้ ดูกรนาคราช ท่านมีนัยต์ตาแดง มีรัศมีแวววาวประดับตกแต่งด้วย ปลงผมและหนวด ชโลมทาจุณจันทร์แดงส่งแสงไปทั่วทิศดุจคนธรรม์ราชาฉะนั้น ท่านเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งเทวฤทธิ์มีอานุภาพมาก พร้อมพรั่งด้วยกามารมณ์ทั้งปวง เพราะเหตุไรมนุษย์โลกจึงประเสริฐกว่านาคพิภพนี้เล่า ท่านอาฬาระ นอกจามนุษย์โลกแล้ว ความบริสุทธิ์หรือความสำรวมย่อมไม่มี ถ้าข้าพเจ้าได้กำเนิดเป็นมนุษย์แล้ว ข้าพเจ้าจักทำที่สุด แห่งชาติชรา และมรณะได้ ข้าพเจ้าอยู่ในสำนักของท่านปีเต็ม ๆ แล้วท่านได้บำรุงบำเรอเราด้วย น้ำบริบูรณ์ ข้าพเจ้าขอลาท่านกลับละ ท่านอาฬาระ บุตรและภรรยาของข้าพเจ้า เป็นความสวัสดี ดูกรนาคราช บุตรสุดที่รักปรนนิบัติบิดามารดาอยู่ในเรือน แม้ด้วยประการใด ท่านบำรุงข้าพเจ้าอยู่ในนาคพิภพนี้ ยังประเสริฐกว่านั้น เพราะจิตของท่านเลื่อมใสในข้าพเจ้า นาคราชบอกว่า แก้วทับทิม อันจะนำทรัพย์สมบัติมาให้ตามประสงค์ของข้าพเจ้ามีอยู่ ท่านจึงถือเอามณีรัตน์อันมโหฬารนั้นไปยังที่อยู่ของตน ได้ทรัพย์แล้วจงเก็บแก้วมณีนั้นไว้

ท่านอาฬารดาบส ถวายพระพรพระเจ้ากรุงพาราณสีว่า ขอถวาย พระพรบพิตรพระราชสมภาร แม้กามคุณของมนุษย์ อาตมภาพก็ได้เห็นแล้ว เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา อาตมภาพเห็นโทษในกามคุณทั้งหลาย จึงออกบวชด้วยศรัทธา ขอถวายพระพรทั้งคนหนุ่มคนแก่ ย่อมมีสรีระร่างกายทุพบภาพล่วงหล่นไป เปรียบเหมือนผลไม้ฉะนั้น อาตมภาพเห็นคุณข้อนี้ว่า สามัญผลเป็นข้อปฏิบัติ อันไม่ผิด ทั้งเป็นคุณประเสริฐ อาตมภาพจึงขอบวช

พระเจ้ากรุงพาราณสี ตรัสว่า ชนเหล่าใดเป็นพหุสูต ค้นคิดเหตุผลได้มาก ชนเหล่านั้นเป็นคนมีปัญญา บุคคลควรคบหาสมาคมด้วยโดยแท้ ท่านอาฬาระ โดยได้ฟังคำของนาคราชและของท่านแล้ว จักทำบุญต่อไป

ท่านอาฬารดาบส ถวายพระพรว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระราชสมภาร ชนทั้งหลายเป็นพหูสูต ค้นคิดเหตุผลได้มาก คนเหล่านั้น เป็นคนมีปัญญาจริง ๆ เป็นผู้ที่บุคคลทั้งหลาย ควรคบหาสมาคมด้วยอย่างแท้จริง มหาบพิตรได้ทรงสดับเรื่องสังขปาลนาคราช โพธิสัตว์และของอาตมาภาพแล้ว ขอได้ทรงบำเพ็ญพระกุศลให้มากขึ้นเถิด จะได้ถึงที่สุด ทุกข์โดยชอบต่อไป ขอถวายพระพร

ข้อที่สังขปาลนาคราช อดกลั้นต่อทุกขเวทนาอันแสบเผ็ดแสนสาหัสได้ ไม่ทำลายศีลในขณะที่พรานหนุ่ม ๑๖ คนมัดหามไปนั้น

ศีลนั้นจัดเป็น ศีลปรมัตถบารมี เพราะรักษาศีลยอมสละชีวิต ไม่ยอมล่วงศีล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น